วันศุกร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2557

ม.๔-๖ หน่วยที่ ๓ คุณค่าภูมิปัญญาไทย

ตอนที่ ๒ ดนตรีไทย
หน่วยการเรียนรู้ที่ ๓ คุณค่าภูมิปัญญาไทย

ดนตรีไทยเป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่แสดงถึงอัตลักษณ์และตัวตนของคนไทย ซึ่งได้ใช้ชีวิตเคียงคู่กับเสียงเพลงและดนตรีมาเป็นระยะเวลาอันยาวนาน ดังนั้นดนตรีแต่ละสมัยจึงเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรม ถือเป็นคุณค่าภูมิปัญญาไทยที่ควรค่าแก่การรักษาและสืบทอดให้คงอยู่ชั่วลูกชั่วหลาน

สาระการเรียนรู้
๑. ประวัติความเป็นมาของดนตรีไทย
๒. ลักษณะดนตรีพื้นบ้านในภาคต่างๆ ของไทย
๓. ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในวงการดนตรีไทย

กิจกรรมฝึกทักษะที่ควรเพิ่มให้นักเรียน
๑. อธิบายประวัติความเป็นมาของดนตรีไทยได้
๒. เปรียบเทียบลักษณะดนตรีพื้นบ้านในภาคต่างๆ ของไทยได้
๓. รู้จักประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในวงการดนตรีไทย
  

ประวัติความเป็นมาของดนตรีไทย

                ดนตรีไทย เป็นมรดกทางด้านศิลปวัฒนธรรมประจำชาติไทย และเป็นสิ่งสำคัญที่แสดงถึงเอกลักณ์ความเป็นไทยอย่างสมบูรณ์แบบ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน วิวัฒนาการดนตรีของไทยมีการพัฒนาไปตามสภาพแวดล้อม สังคม และค่านิยมของผู้คนในแต่ละสมัย โดยในระยะเริ่มแรกมีการรับวัฒนธรรมดนตรีของชนชาติอื่นเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมดนตรีไทย จุดประสงค์เพื่อใช้ในงานพระราชประเพณีซึ่งมีศาสนาเป็นตัวเชื่อม และมีวังเป็นศูนย์กลางถ่ายทอดมาสู่ประชาชน
การศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ไทยโดยเฉพาะเรื่องราวที่เกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรมของไทยนอกจากจะได้ความภาคภูมิใจในความเป็นชาติแล้ว เรายังได้ทราบถึงแนวคิดในการสร้างงานดนตรีที่เกิดขึ้นและเป็นแนวทางในการวิเคราะห์ผลงานในอดีต รวมทั้งการคาดเดาถึงแนวโน้มของดนตรีไทยในอนาคตด้วยการแบ่งประวัติศาสตร์ดนตรีไทยออกเป็นสมัยๆ ก็เพื่อสะดวกในการกล่าวถึง โดยประวัติความเป็นมาของดนตรีไทยสามารถแบ่งออกเป็นสมัยต่างๆ ดังนี้

สมัยสุโขทัย (ราว พ.ศ. ๑๘๐๐-๑๙๐๐)
                ในสมัยสุโขทัยเป็นราชธานีนับเป็นสมัยการเริ่มต้นของประวัตศาสตร์ไทย พ่อขุนรามคำแหงมหาราชได้ทรงคิดประดิษฐ์ตัวอักษรไทยขึ้น และได้จารึกเรื่องราวต่างๆ ลงในหลักศิลาจารึก และจากหลักศิลาจารึกนี้เองที่ทำให้เราได้ทราบถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัยได้เป็นอย่างดี ดังปรากฏข้อความตอนหนึ่งว่า “เสียงพาทย์ เสียงพิณ เสียงเลื่อนเสียงขับ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าในสมัยสุโขทัยได้มีการนำดนตรีมาใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ จนต้องบันทึกไว้ในหลักศิลา และในหลักศิลาจารึกในสมัยสุโขทัยยังกล่าวถึงเครื่องดนตรีไว้มากมาย เช่น พิณ(อาจหมายถึง กระจับปี่ หรือพิณน้ำเต้าฆ้องระฆัง กังสดาล มโหระทึก กลองใหญ่ กลองรวมกลองเล็ก ฉิ่ง วงดนตรีที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ได้แก่
๑. วงขับไม้ ประกอบด้วย ซอสามสาย บัณเฑาะว์ และคนขับร้อง
วงปี่พาทย์ ประกอบด้วย ปี่ ระนาด ฆ้องวง กลองสองหน้า และฉิ่ง
วงประโคม แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่

                ๓.๑ วงประโคมในงานเสด็จออกขุนนาง และในการเสด็จพระราชดำเนินกระบวนน้อย ประกอบด้วย แตร และกลองมโหระทึก
๓.๒ วงประโคมในงานเสด็จพระราชดำเนินในขบวนพยุหยาตรา เรียกว่า “แตรสังข์กลองชนะ” ประกอบด้วย สังข์ แตรงอน ปี่ชวา กลองเปิงมางหรือสองหน้า และกลองชนะ
สำหรับเพลงไทยที่ปรากฏในสมัยนี้ เช่น เพลงเทพทอง หรือที่เรียกว่า เพลงสุโขทัย ซึ่งถือเป็นเพลงพื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุด

สมัยอยุธยา (.๑๘๙๓-๒๓๑๐)
ดนตรีไทยในสมัยอยุธยาส่วนใหญ่ยังคงได้รับอิทธิพลมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย แต่ได้มีการพัฒนาซึ่งพบว่ามีเครื่องดนตรีเพิ่มขึ้นหลายชนิด ทำให้เครื่องดนตรีในสมัยอยุธยานี้มีครบทุกประเภทคือ ดีด สี ตี เป่า เช่น กระจับปี่ จะเข้ พิณน้ำเต้า ซอต่างๆ กรับคู่ กรับเสภา ระนาดเอก ฆ้อง โทน กลองทัด ปี่ใน ขลุ่ย แตรงอน แตรสังข์
                วงปี่พาทย์ในสมัยอยุธยา ยังคงเป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา เพื่อใช้สำหรับประกอบการแสดงละครมโนราห์ หรือละครชาตรีของชาวใต้ และวงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนักสำหรับบรรเลงประกอบการแสดงละครนอกและละครใน ซึ่งเดิมนิยมใช้วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างเบา ต่อมาละครนอกและละครในนี้ต้องบรรเลงเพลงหน้าพาทย์ และเพลงร้องที่มีท่วงทำนองรวดเร็วตามเรื่องราว จึงต้องเปลี่ยนจากปี่พาทย์อย่างเบา เป็นวงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก และด้วยความเจริญทางด้านดนตรีไทยในสมัยนี้จึงทำให้ชาวบ้านนิยมเล่นดนตรีกันมาก จนกระทั่งในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑ต้องประกาศกฎมณเฑียรบาลว่า ห้ามร้องเพลงเรือ เป่าขลุ่ย เป่าปี่ สีซอ ดีดกระจับปี ดีดจะเข้ ตีโทนทับในเขตพระราชฐาน
                บทเพลงมีทั้งเพลงขับร้องและเพลงบรรเลง บทร้องเป็นเพลงกาพย์คล้ายบทกลอนกล่อมเด็กต่อมาพัฒนาเป็นบทดอกสร้อย และกลอนแปด มีการเล่านิทาน หรือเล่าเรื่องที่เรียกว่า การขับเสภาส่วนบทเพลงบรรเลงมีทั้งเพลงเกร็ด เพลงเรื่อง เพลงหน้าพาทย์ เพลงภาษา ซึ่งอัตราจังหวะส่วนใหญ่เป็นอัตราจังหวะสองชั้น

สมัยรัตนโกสินทร์
ดนตรีไทยในสมัยรัตนโกสินทร์ได้มีการพัฒนาต่อเนื่องมาจากดนตรีสมัยอยุธยา ซึ่งสามารถแยกกล่าวในแต่ละช่วงของแต่ละรัชกาลได้ ดังนี้
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (.๒๓๒๕-๒๓๕๒) พระองค์ได้ทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม โดยทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์ และเรื่องดาหลังให้สมบูรณ์ซึ่งเป็นวรรณคดีที่มีมาตั้งแต่สมัยอยธยา วรรณคดีทั้งสองเรื่องนี้ใช้ในการแสดงโขนและละครจึงนับเป็นรากฐานอันสำคัญที่ทำให้บทเพลงต่างๆ ในอดีตถูกฟื้นฟูขึ้นมาอีกครั้ง เพราะละครไทยนั้นต้องอาศัยเพลงบรรเลงประกอบการแสดงนอกจากนี้มีการเพิ่มกลองทัดในวงปี่พาทย์ขึ้นอีกหนึ่งลูกรวมเป็นสองลูก เสียงสูงลูกหนึ่ง เรียกว่าตัวผู้” เสียงต่ำอีกหนึ่งลูกเรียกว่า “ตัวเมีย

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย (.๒๓๕๒-๒๓๖๗) ทรงเป็นทั้งนักดนตรีและดุริยกวี พระองค์ทรงส่งเสริมด้านวรรณคดีและการละคร พระองค์สามารถทรงซอสามสายได้อย่างไพเราะยิ่ง (ซอสามสายของพระองค์มีนามว่าซอ สายฟ้าฟาด”) พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์บทละคร
                ในสมัยนี้การขับเสภาเล่านิทานนั้นเฟื่องฟูมากโดยเฉพาะวรรณคดีพื้นบ้าน เรื่องขุนช้างขุนแผนซึ่งแต่เดิมการขับเสภามีเพียงกรับเสภาคู่หนึ่ง และผู้ขับเสภาต้องทำหน้าที่ขยับกรับพร้อมๆ กับการขับเสภาไปด้วย พระองค์จึงโปรดให้นำวงปี่พาทย์มาบรรเลงประกอบการขับเสภา เริ่มแรก
เป็นการบรรเลงสอดแทรกการขับเล่าเรื่อง ต่อมาภายหลังได้ลดบทบาทของผู้ขับเสภา และการขับเล่าเรื่องคงเหลือแต่การร้องส่งเป็นบทเพลง และเนื่องจากเสียงตะโพนที่ใช้อยู่ในวงมีเสียงดังมากไม่เหมาะกับการร้อง จึงมีผู้นำเปิงมางมาถ่วงด้วยขี้เถ้าบดกับข้าวสุกมาปะไว้ที่หนังกลองเพื่อให้มีเสียงต่ำลงเกิดเป็นกลองสองหน้า ใช้ตีหน้าทับแทนตะโพนและกลองทัดวงปี่พาทย์เสภาจึงประกอบไปด้วยปี่ใน ระนาด ฆ้องวงกลองสองหน้า และฉิ่งถือเป็นประเพณีต่อมาจนถึงปัจจุบัน
           
                รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (.๒๓๖๗-๒๓๙๔) ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการประดิษฐ์ “ระนาดทุ้ม” ขึ้น เพื่อใช้บรรเลงคู่กับระนาดเอก โดยลูกระนาดจะมีขนาดใหญกว่าเพื่อให้เกิดเสียงทุ้มต่ำ ในการบรรเลงระนาดทุ้มจะมีลักษณะลีลาการเล่นที่หยอกล้อไปกับระนาดเอก
เครื่องดนตรีอีกชนิดหนึ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนี้คือฆ้องวงเล็กซึ่งมีขนาดเล็กกว่าฆ้องวงใหญ่ โดยมีจานวนลูกฆ้องถึง๑๘ ลูก ในขณะที่ฆ้องวงใหญ่มีเพียง ๑๖ ลูก
นอกจากมีการเพิ่มเครื่องดนตรีแล้ว “ครูมีแขกซึ่งเป็นครูดนตรีในสมัยนั้นได้แต่งเพลงโดยขยายจากเพลงสองชั้นเดิมเป็นอัตราสามชั้น สำหรับใช้ในการบรรเลงและขับร้อง เช่น เพลงแขกมอญ เพลงการเวกและได้เกิดเพลงสำเนียงภาษาตางๆ มากขึ้น เนื่องจากเริ่มมีชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายมากขึ๊น

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจัาอยู่หัว (.๒๓๙๔-๒๔๑๑) ใน พ.๒๓๙๘ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเลิกพระราชกำหนดที่ห้ามมิให้ผู้ใดมีละครหญิง นอกจากพระมหากษัตริย์ ทำให้บรรดาเจ้าของละครต่าง ๆ ฝึกผู้หญิงขึ้นเป็นตัวละครละครชายจึงซบเซาลง บ้านใดที่มีข้าทาสบริวารที่เป็นผู้ชายก็หันไปฝึกปี่พาทย์กัน ทำให้เกิดวงปีพาทย์เพิ่มขึ้น เจ้านายชั้นสูง พระราซวงศ์ ตลอดจนขุนนางที่นิยมดนตรีต่างก็มีวงดนตรีประจำวังของตนทำให้มีการประกวดประชันกันขึ้น
                พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสนับสนุนการดนตรีทั้งดนตรีแบบแผนและดนตรีพื้นบ้านอีสาน วงปี่พาทย์วังหน้าของพระองค์มีคูรมีแขกเป็นผู้ควบคุมการฝึกสอน และพระราชทานยศแต่งตั้งครูมีเเขกซึ่งเป็นสามัญชนให้มีบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐ์ไพเราะ ภายหลังหลวงประดิษฐ์ไพเราะได้แต่งเพลง “เชิดจีน” ขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเพลงที่มีความแปลกไพเราะอย่างมาก พระองค์จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เลื่อนบรรดาศักดิ์ให้เป็นพระประดิษฐ์ไพเราะ ซึ่งท่านได้แต่งเพลงอัตราสามชั้นสำหรับวงปี่พาทย์วังหน้าบรรเลงไว้เป็นจำนวนมากจนได้สมญานามว่า เจ้าแห่งทยอย
                ในสมัยนี้พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเพิ่มระนาดเอกเหล็กและระนาดทุ้มเหล็กเข้าประสมวงเป็นวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ นอกจากนั้นวงเครื่องเป่าของดนตรีตะวันตกได้เข้ามามีบทบาทในการฝึกหัดแเถวทหารเพื่อการสวนสนาม โดยมีครูฝึกดนตรีต่างชาติเข้ามาทำการสอน

                รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยูพัว (พ ศ๒๔๑๑-๒๔๕๓) ในรัชสมัยของพระองค์ได้มีการคิดวิธีประสมวงดนตรีขึ้นใหม่อีกรูปแบบหนึ่ง คือ วงปี่พาทย์ดึกดำบรรพ์ ซึ่งเป็นพระดำริของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ได้ทรงปรับปรุงขึ้นเพื่อประกอบการแสดงที่ท่านเจ้าพระยาเทเวศร์วงศ์วิวัฒน์ได้ปรับปรุงขึ้น คือ ละครดึกดำบรรพ์ซึ่งดัดแปลงมาจากละครโอเปรา ในการนี้ได้เกิดเครื่องดนตรีขึ้นใหม่คือ กลองตะโพน (ใช้ ๒ ใบตั้งตีแทนกลองทัด โดยตีด้วยไม้นวมเพื่อให้เกิดเสียงตำทุ้ม ไม่กังวานมาก เหมาะสำหรับการแสดงละคร ดึกดำบรรพ์

                รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (พศ๒๔๕๓-๒๔๖๘พระองค์โปรดการดนตรีเป็นอย่างมากทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ บทละครชนิดต่าง ๆ รวมทั้งบทละครแบบตะวันตกทรงจัดตั้งกรมมหรสพแยกจากกรมโขนหลวง ทรงจัดตั้งกรมพิณพาทย์หลวง ดูแลเรื่องของปี่พาทย์เครื่องสาย และกลองแขกปี่ชวา เพื่อใช้บรรเลงประกอบพระราชพิธีต่างๆ โดยมีวงปี่พาทย์วงหนึ่งสาหรับตามเสด็จ เรียกว่า วงข้าหลวงเดิม” ต่อมาเรียกว่า “วงตามเสด็จ” ในสมัยนี้การละครและการดนตรีมีความเจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก ถือได้ว่าเป็นยุคทองของดนตรีไทย ตามวังของเจ้านายและคหบดีต่างก็มีวงปี่พาทย์และครูที่มีภูมิรู้อยู่ประจำวง เกิดการพัฒนาวิชาการดนตรี ทั้งแนวคิด หลักการวัธีการ ตลอดจนเทคนิคการประพันธ์ มีการวางระบบการบรรเลงหลากหลายวิธี ทั้งแบบพื้นฐานการบรรเลงชั้นสูง และการบรรเลงเดี่ยว
                นักดนตรีและดุริยกวีที่โดดเด่นในรัชกาลนี้ เช่นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ทูลกระหม่อมบริพัตรหลวงประดิษฐ์ไพเราะ(ศรศิลปบรรเลงจางวางทั่ว พาทยโกศล พระยาประสานดุริยศัพท์(แปลก ประสานศัพท์พระเพลงไพเราะ (โสม สวาทิตและในสมัยนี้ได้มีการก่อตั้งกองเครื่องสายฝรั่งหลวง ซึ่งเป็นวงดนตรีสากลโดยผู้วางรากฐานสำคัญของการพัฒนาดนตรีสากลในรัชกาลนี้คือ พระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยกร)
                ๗รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(.๒๔๖๘-๒๔๗๗) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงศึกษาวิชาการดนตรีจนมีพระปรีชาสามารถในการทรงดนตรี และทรงพระราชนิพนธ์เพลงไทยไว้ ๓ เพลง คือเพลงราตรีประดับดาว เถา เพลงเขมรลออองค์ เถา และเพลงโหมโรงคลื่นกระทบฝั่งสามชั้น
                ใน พ.ศ. ๒๔๗๒ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงริเริ่มให้มีการบันทึกโน้ตเพลงไทยในรูปแบบโน้ตสากล โดยบันทึกเป็นแนวทางของวงปี่พาทย์ มีแนวปี่ในระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดเอกเหล็กดะโพนกลอง และฉิ่ง และต่อมามีการบันทึกแผ่นเสียงคลั่งเพลงไทยจากฝีมือการบรรเลงของนักดนตรีที่มีชื่อเสีองอยู่ในขณะนั้นออกมาเป็นจำนวนมาก เช่น หลวงกล่อมโกศลศัพท์(จอน สุนทรเกศ)หลวงเพราะสำเนียง (ศุข ศุขวาทีวงพิณพาทย์ วังบางขุนพรหม
                ๘. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (..๒๔๗๗-๒๔๘๙)ในพ..๒๔๗๙ได้มีการเปิดโรงเรียนสอนดนตรีและนาฏศิลป์ไทยของราชการแห่งแรกคือ โรงเรียนนาฏดุริยางคศาสตร์ขึ้นกับกรมศิลปากร กระทรวงศึกษาธิการ (ปัจจุบันคือวิทยาลัยนาฏศิลปซึ่งก่อตั้งโดยพลตรีหลวงวิจิตรวาทการ ขณะเดียวกันกรมศิลปากรได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบบทเพลงเพื่อบันทึกโน้ตเพลงไทยเป็นโน้ตสากลต่อจากที่สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงทำไว้
                ในรัชสมัยของพระองค์ถือได้ว่าเป็นยุคที่วงการดนตรีไทยอยู่ในภาวะตกต่ำ รัฐบาลไม่สนับสนุนและส่งเสริมกิจกรรมดนตรีไทย เกิดนโยบายรัฐนิยมปรับปรุงประเทศไทยไปสู่อารยประเทศ มีการควบคุมการบรรเลงดนตรีไทยและต่อมานักดนตรีต้องมีใบอนุญาตในการเล่นดนตรี
                ๙. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช(..๒๔๘๙-ปัจจุบัน)พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วงดนตรีไทยที่มีชื่อเสียงมาบรรเลงบันทึกเสียง ออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุ อสพระราชวังดุสิตเป็นประจำ เช่น วงดนตรีคณะศรทองของหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลงคณะพาทย์โกศล วงดนตรีของคุณหญิงชิ้น ศิลปบรรเลงวงของนายมนตรี ตราโมท มีการนำทำนองเพลงพื้นเมือง หรือเพลงไทยสองชั้น ชั้นเดียว มาใส่เนื้อร้องใหม่แบบเนื้อเต็มตามทำนอง เกิดเป็นเพลงประเภทลูกทุ่ง ลูกกรุงขึ้น
                ในด้านการเรียนการสอนดนตรีได้รับการส่งเสริมให้เข้าสู่ระบบโรงเรียนและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศทั้งในระดับประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา มีการก่อตั้งชุมนุมดนตรีไทยในสถาบันการศึกษาต่างๆ และจัดให้มีการประกวดวงดนตรีไทยขึ้นในระดับต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน
                ใน พ.๒๕๒๘ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเริ่มต้นการประกาศยกย่องศิลปินแห่งชาติในสาขาศิลปะการแสดงดนตรีไทย ในขณะเดียวกันศิลปินรุ่นใหม่มีการพัฒนาดนตรีไทยในแนวทางร่วมสมัย เช่นการประสมวงที่มีเครื่องดนตรีไทยกับเครื่องดนตรีตะวันตก การใช้เทคโนโลยีการบันทึกเสียงสร้างมิติเสียงใหม่ๆ ให้แก่วงการดนตรีไทย
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีทรงเป็นองค์อุปถัมภ์ศิลปวัฒนธรรมดนตรีทีสำคัญยิ่ง พระองค์มีพระปรีชาสามารถในทางการบรรเลงดนตรีไทยและขับร้องตลอดจนพระราชนิพนธ์เนื้อร้องสำหรับนำไปบรรจุเพลงต่างๆ ดังผลงานที่มีชื่อเสียง เช่น เพลงไทยดำเนินดอย เพลงเต่าเห่ เพลงชื่นชุมนุมกลุมดนตรีรวมทั้งเสด็จพระราชดำเนินไปร่วมงานมหกรรมดนตรีไทยต่างๆ งานแสดงดนตรีไทยครั้งสำคัญๆ งานพิธีไหว้ครูดนตรีไทย และงานพระราชทานศิลปินแห่งชาติให้แก่ศิลปินดนตรีไทยและศิลปินด้านอื่นๆ


ลักษณะดนตรีพื้นบ้านในภาคต่างๆ ของไทย

                ดนตรีพื้นบ้านหรือเพลงพื้นบ้านเป็นดนตรีที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของศิลปะการแสดงเฉพาะถิ่นซึ่งเป็นกิจกรรมที่มีบทบาทอยู่เฉพาะวิถีชีวิตของสังคมและวัฒนธรรมนั้นๆ โดยทั่วไปในประเทศไทยสามารถจำแนกความแตกต่างทางวัฒนธรรมอย่างกว้างๆ ได้ ดังนี้

(๑) ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ
                ดนตรีพื้นบ้านภาคเหนือ เรียกรวมๆ ว่าเป็นดนตรี “ล้านนา” ซึ่งดินแดนล้านนานี้มีจังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์กลางของภาค มีเครื่องดนตรีพื้นบ้านที่หลากหลาย ลักษณะของการแสดงนิยมเรียกกันว่า “ซอ” ซึ่งซอในที่นี้มิได้หมายถึงชื่อของเครื่องดนตรี แต่เป็นวิธีขับร้องแบบพื้นบ้านลักษณะหนึ่งของล้านนา ส่วนมากมักประสมกับดนตรีพื้นบ้าน ลักษณะการร้องของล้านนามีหลายแบบ เช่นจ๊อย ค่าวฮ่ำ หรืออื่อ สำหรับดนตรีที่ใช้ประกอบการซอ นิยมใช้วงดนตรีที่เรียกกันว่าวงซอพื้นเมืองหรือวงปี่ซอ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า “วงสะล้อซอซึง” อันเป็นวงดนตรีของล้านนาไทยโดยเฉพาะ วงซอพื้นเมืองของภาคเหนือประกอบด้วย ปี่ซอ ๓ เลา ได้แก่ ปี่แม่ ปี่กลาง และปี่ก้อย รวมเรียกกันว่าปี่ชุมหรือปี่จุม และยังมีซึง สะล้อ สวนเครื่องประกอบจังหวะอาจมีฉิ่ง กลอง หรือไม่มีก็ได้
                สำหรับท่วงทำนองของเพลงที่บรรเลงโดยวงดนตรีล้านนานี้มีลักษณะที่ค่อนข้างช้า ฟังแล้วรู้สึกถึงธรรมชาติและบรรยากาศของภาคเหนือที่มีลักษณะที่สดชื่น เยือกเย็น

(๒) ดนตรีพื้นบ้านภาคกลาง
 ดนตรีพื้นบ้านภาคกลางของไทย จะเน้นถึงบทเพลงขับร้องซึ่งมีมากมายหลายลีลาที่แตกต่างกันไป เช่น เพลงอีแซว เพลงฉ่อย เพลงเรื่องเพลงเหล่านี้สามารถขับร้องโดยไม่ต้องมีดนตรีประกอบแต่หากพูดถึงวงดนตรีพื้นบ้านของภาคกลางก็มีการแสดงของวงดนตรีประเภทหนึ่งที่ปัจจุบันเป็นที่รู้จัก และเล่นกันอย่างแพร่หลายในทุกๆ ภาคของประเทศไทย ได้แก่ วงกลองยาว ลักษณะของวงกลองยาวนี้ประกอบด้วยกลองเอก หรือกลองนำ จำนวน ๑ ใบ ทำหน้าที่เป็นตัวนำเพลง เปลี่ยนกลองเพลงหรือนำจบเพลง และมีกลองตีตามซึ่งไม่จำกัดจำนวนทำหน้าที่ตีตามเพลงกลอง มีโหม่งทำหน้าที่ตีกำกับจังหวะหลัก หรือตั้งจังหวะให้กับกลองเอก มีฉาบเล็ก หรือฉาบกรอตีจังหวะขัดเพิ่มความสนุกสนานให้กับบทเพลง นอกจากนั้นยังมีฉิ่ง และกลับตีเสริมจังหวะอีกด้วย ในบางครั้งการบรรเลงเพลงกลองยาวจะมีการร้องประกอบการตีกลองยาว โดยผู้ตีจะเป็นผู้ร่วมกันร้อง และมีการรำประกอบ ลักษณะของเพลงในภาคกลางจะเน้นความสนุกสนานครื้นเครงเป็นหลัก



(๓) ดนตรีพื้นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ดนตรีพื้นบ้านภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือภาคอีสาน เป็นดนตรีพื้นบ้านที่แพร่หลายอย่างมากมีวงดนตรีที่รู้จักกันโดยทั่วไป คือ วงโปงลาง และเครื่องดนตรีที่มีความสำคัญที่สุด คือ แคนเนื่องจากแคนสามารถบรรเลงทำนอง และประสานเสียงได้ภายในเครื่องเดียวกัน เสียงแคนจึงมีความไพเราะสมบูรณ์ เป็นที่น่าสังเกตว่าลักษณะเสียงดนตรีที่บรรเลงโดยแคนส่วนมากจะเป็นลักษณะของบันไดเสียงที่เป็นไมเนอร์ ซึ่งเป็นเสียงที่ค่อนข้างเศร้ารวมถึงเครื่องดนตรีชนิดอื่นด้วยเช่นโหวต แต่เมื่อนำมาบรรเลงในวงโปงลาง กลับให้ความรู้สึกสนุกสนานครื้นเครงถึงกับมีผู้กล่าวว่าดนตรีอีสานมีความสนุกสนานแต่แฝงไปด้วยความเศร้าแห้งแล้ง ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของดนตรีในภาคนี้

(๔) ดนตรีพื้นบ้านภาคใต้
                ชื่อเพลงต่างๆ ของชาวใต้มีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น กำพรัด เพลงหนังตะลุง เพลงบอก หรือเพลงมโหราห์ ซึ่งถึงแม้จะมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน แต่ทำนองของเพลงเหล่านั้นจะเหมือนกันหมดความแตกต่างอยู่ที่บทร้อง หรือกลอนเพลง ลีลาของดนตรีพื้นบ้านภาคใต้มีจังหวะกระชั้น หนักแน่นเฉียบขาด เร้ารุกมากก่วาความอ่อนหวาน เนิบช้าลีลาเช่นนี้สอดคล้องกับลักษณะนิสัยทั่วไปของชาวใต้ที่บึกบึน หนักแน่น เด็ดขาด และค่อนข้างแข็งกร้าวสำหรับวงดนตรีที่ใช้บรรเลงประกอบการขับร้องคือวงปี่พาทย์อย่างเบาหรือวงหนังตะลุง ประกอบด้วยกลองตุ๊ก ทับ ฆ้องคู่ ปี่ และฉิ่ง



ประวัติและผลงานของบุคคลสำคัญในวงการดนตรีไทย

                ผลงานหรือบทเพลงไทยที่ตกทอดมาจนถึงปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นผลงานที่มีคุณค่า อันเกิดจากการประดิษฐ์คิดค้น จากครูเพลงหลายต่อหลายคน ซึ่งในบทนี้จะขอนำเสนอประวัติและผลงานของครูดนตรีไทยบางคนดังนี้



พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูร)
                พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางกูรหรือที่รู้จักกันทั่วไปในสมญา “ครูมีแขก” ครูมีแขกมีชีวิตอยู่ในช่วงตอนปลายสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงต้นรัชกาลที่ ๕ สถานที่เกิดคือบริเวณสุเหร่ากุฎีขาวใกล้วัดกัลยาณมิตร ธนบุรี ครูมีแขกมีบุตรชื่อว่าครูถึก ดุริยางกูร ซึ่งสามารถสีซอด้วงได้ไพเราะมาก
ไม่มีบันทึกใดๆ ว่าครูมีแขกเรียนดนตรีมาจากใคร แต่มักกล่าวกันต่อๆ มาว่าท่านสามารถบรรเลงเครื่องดนตรีได้หลายชนิด แต่ที่ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษคือ ปี่และซอสามสาย ท่านรับราชการในตำแหน่งจางวางมหาดเล็กเป็นครูและหัวหน้าวงปี่พาทย์วังหน้าของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาเป็นนครูมโหรีของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาสุดารัตนราชประยูร นอกจากนั้นยังมีลูกศิษย์ที่มีชื่อเสียงหลายคน เช่น คูรสิน ศิลปบรรเลง ครูรอดพระยาธรรมสารนิติพิพิธภักดี(ตาด อมาตยกลครูต้ม พาทยกุล ครูแดง พาทยกุล
                ครูมีแขกได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับการแต่งเพลงทีมีลูกล้อลูกขัดหรือประเภท “เพลงทยอย” ท่านได้แต่งเพลงไว้เป็นจำนวนมากสำหรับเพลงที่โดดเด่นที่สุดของท่าน คือ เพลงเชิดจีน ซึ่งแต่งขึ้นเมื่อ พ..๒๓๙๖ และได้รับพระราชทานราชทินนามเลื่อนตำแหน่งจาก “หลวงประดิษฐ์ไพเราะ” เป็น “พระประดิษฐ์ ไพเราะ” จากการแต่ง เพลง นี้

ผลงานเพลง
·       ประเภทเพลงทยอย เช่น เพลงเชิดจีน ทยอยนอก ทยอยเขมร
·       ประเภทเพลงสามชั้น เช่น แป๊ะ สารถี อาเฮีย จีนขิมเล็ก จีนขิมใหญ่
·       ประเภทเพลงเถา เช่น เพลงแขกบรเทศ เถา เพลงดวงพระธาตุ เถา
·       ประเภทเพลงโหมโรง เช่น โหมโรงขวัญเมือง



พระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์)
พระยาประสานดุริยศัพท์ เดิมชื่อครูแปลก เกิดเมื่อวันที่ ๔ กันยายน พ.๒๔๐๓ เป็นบุตรของขุนกนกเลขา (ทองดีกับครูนิ่ม ชาวกรุงเทพมหานคร ภรรยาชื่อพะยอม มีบุตรและธิดาด้วยกันรวม๑๑ คน และบุตรที่เป็นนักดนตรีคือ ขุนบรรจงทุ้มเลิศ (ปลั่ง ประสานศัพท์มีน้องชายชื่อพระพิณบรรเลงราช(แย้ม ประสานศัพท์เป็นนักดนตรีเช่นกัน
                พระยาประสานดุริยศัพท์เรียนปี่ชวากับครูหนูดำ เรียนปี่พาทย์กับครูช้อย สุนทรวาทิน จนกระทั่งมีฝีมือดีและรับราชการที่กระทรวงนครบาล แล้วเป็นมหาดเล็กเรือนนอกในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ประจำวงสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ) เป็นผู้เป่าปี่ประจำวงปี่พาทย์ฤๅษี ซึ่ง เป็นวงปี่พาทย์พิเศษในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่โปรดให้บรรเลงหน้าพระที่นั่งอยู่เสมอ
                พระยาประสานดุริยศัพท์เป็นผู้เชี่ยวชาญการบรรเลงเครื่องดนตรีทุกชนิด ก็ได้รับการยกย่องเป็นพิเศษก็คือ ปี่ขลุ่ย และระนาดเอก ความสามารถทางดนตรีของท่านนับได้ว่าเป็นเลิศทางฝีมือ ความรู้ ปฏิภาณไหวพริบ ความเป็นครูและความเป็นศิลปิน ท่านไดรับพระราชทานนามสกุลประสานศัพท์จากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ๒๔๕๖

ผลงาน เพลง
-          ประเภทเพลงเถา เช่น เขมรปากท่อ เถา เพลงประพาสเภตรา เถา เพลงอาถรรพ์ เถา เพลงสามไม้ใน เถา
-          ประเภทเพลงสามชั้น เช่น เพลงเขมรใหญ่ เพลงดอกไม้ไทร เพลงถอนสมอ เพลง ทองย่อน เพลงเทพรัญจวน เพลงนารายณ์แปลงรูป เพลงคุณลุงคุณป้า เพลงพราหมณ์เข้าโบสถ์ เพลงธรณีร้องไห้ เพลงแขกเห่ เพลงอนงค์สุชาดา เพลงย่องหงิด เพลงเขมรราชบรี เพลงพม่าห้าท่อน
-          ประเภทเพลงสองชั้น เช่น เพลงลาวคำหอม เพลงลาวดำเนินทราย


สมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต
จอมพลเรือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือบรรดานักดนดรีไทยนิยมเรียกขานพระนามว่าทูลกระหม่อมบริพัตร” ประสูติเมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๔เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัากับสมเด็จพระปิตุจฉาเจ้าสุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวีเสกสมรสกับหม่อมเจ้าประสงค์สม (ราชสกุลเดิม ไชยันต์)มีพระโอรสและพระธิดารวม ๘ พระองค์ และมีพระโอรสพระธิดากับหม่อมสมพันธุ์ (สกุลเดิม ปาลกวงศ์ ณ อยุธยา๒ องค์และทรงเป็นต้นแห่งราชสกุล “บริพัตร
ทูลกระหม่อมบริพัตรทรงสีซอได้ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ต่อมา ทรงต่อเพลงกับพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหมื่นทิวากรวงศ์ประวัติ จนมีฝีพระหัตถ์ดีเยี่ยม และทรงต่อเพลงกับเจ้าเทพกัญญาบูรณพิมพ์เป็นครั้งคราว ทรงเครื่องดนตรีไทยได้หลายชนิด เช่น ฆ้องวงใหญ ระนาด อีกทั้งยังทรงเปียโนได้ดีอีกด้วย
เมื่อพระองค์เสด็จมาประทับที่วังบางขุนพรหมทรงมีทั้งวงปี่พาทย์และวงเครื่องสายประจำวัง วงปี่พาทย์นั้นแรกเริ่มทรงใช้วงดนตรีมหาดเล็กเรือนนอก ซึ่งเป็นของตระกูลนิลวงศ์จากอัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม มีครูปาน นิลวงศ์ เป็นหัวหน้าวง นักดนตรีที่มีชื่อเสียงเช่น ครูปน นิลวงศ์ ครูลวด นิลวงศ์ ต่อมาทรงได้วงดนตรีสำนักวัดกัลป์ยาณ์ของหลวงกัลยาณมิตตาวาส(ทับ พาทย์โกศลและจางวางทั่ว พาทยโกศล ซึ่งมีนักดนตรีและนักร้องที่มีชื่อเสียงประจำวง เช่นครูทรัพย์ เซ็นพานิช ครูฉัตร สุนทรวาทิน
                ในช่วงรัชกาลที่ ๖-๗ ยังบางขุนพรหมได้เป็นศูนย์กลางการประชันวงปี่พาทย์ การแสดงดนดรีและการละเล่นต่างๆ ในขณะนั้นวงปี่พาทย์วังบางขุนพรหมเป็นวงที่มีชื่อเสียงมากได้เข้าร่วมการประชันวงที่วังบางขุนพรหมเมื่อ พ.๒๔๖๖ และได้รับรางวัลชนะเลิศ เป็นต้นตำหรับการขับร้องที่สืบทอดมาแต่โบราณ และเป็นที่เกิดของบทเพลงที่มีชื่อเสียง เช่น เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา เพลงแขกสาย เถาเพลงเทวาประสิทธิ์ เถา นอกจากนั้นทูลกระหม่อมบริพัตรยังทรงพระนิพนธ์เพลงไทยประสานเสียงแบบเพลงสากล เช่น เพลงมหาฤกษ์ เพลงมหาชัย เพลงสรรเสริญเสือป่า และทรงแยกเสียงประสานเพลงไทยสำหรับบรรเลงด้วยวงโยธวาทิต
                ทูลกระหม่อมบริพัตรทรงได้รับการยกย่องว่าเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงยอดเยี่ยมของกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นคนไทยคนแรกที่เรียนรู้และแต่งเพลงไทยสากล และทรงเป็นคนไทยคนแรกที่เรียนรู้และแต่งเพลงโดยวิธีการเขียนเป็นโน้ตสากล โดยแยกเสียงประสานถูกต้องตามหลักสากลนิยม

ผลงานเพลง
·       เพลงสำหรับแตรวง เช่น โหมโรงสะบัดสะบิ้ง เพลงเขมรใหญ่ เถา เพลงแขกมัสหรี เถาเพลงสี่เกลอ เถา (.๒๔๖๕)
·       เพลงสำหรับวงโยธวาทิตและปี่พาทย์ เช่น เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถาเพลงพม่าห้าท่อน เถา เพลงแขกสาย เถา เพลงพวงร้อย เถา
·       เพลงสำหรับปี่พาทย์ เช่น เพลงเทวาประสิทธ์ เถา เพลงอาถรรพ์ เถา เพลงสมิงทองเทศเถา เพลงน้ำลอดใต้ทราย เถา เพลงนารายณ์แปลงรูป เถา เพลงจิ้งจกทอง เถา เพลงสุดถวิล เถา



หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง)
หลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลงเกิดเมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.๒๔๒๔เป็นชาวตำบลคลองดาวดึงส์ อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม นายศร ศิลปบรรเลง เป็นบุตรของครูปี่พาทย์ชื่อสิน ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครูมีแขก (พระประดิษฐ์ไพเราะ หรือ มี ดุริยางกูรมารดาชื่อนางยิ้ม ศิลปบรรเลง ซึ่งถือเป็นสายปี่พาทย์ที่สืบทอดมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
                เด็กชายศรเรียนดนตรีกับบิดาตั้งแต่อายุได้ ๕ ขวบ ด้วยบิดาเป็นเจ้าของวงปี่พาทย์ทำให้ศรได้ฟังเสียงปี่พาทย์ตั้งแต่เล็กๆ ครั้นเมื่ออายุได้ ๑๑ ขวบ ก็ได้ฝึกระนาดอย่างจริงจัง ครูสินได้ถ่ายทอดวิชาปี่พาทย์ให้ จนกระทั่งมีความสามารถในการประชันวง และใน พ.๒๔๔๓ขณะอายุได้ ๑๙ ปี นายศรได้มีโอกาสแสดงเดี่ยวระนาดเอกถวายสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้ากรมพระยาภาณุพันธุ์วงศ์วรเดช หรือ “สมเด็จวังบูรพา” ที่จังหวัดราชบุรี เป็นที่ต้องพระทัยมาก จึงทรงรับตัวไปไว้ที่วังบูรพาภิรมย์ ในปีต่อมาก็ได้เป็นจางวางมหาดเล็กเรียกกันว่า “จางวางศร” ทำหน้าที่เป็นคนระนาดเอกประจำวังบูรพาภิรมย์
                เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสมณฑลปักษ์ใต้ จางวางศรได้มีโอกาสตามเสด็จ และประพันธ์เพลงเขมรเลียบพระนครถวาย เป็นการประดิษฐ์ทางกรอขึ้นใหม่ ซึ่งเป็นการทำเสียงระนาดให้ยาวขึ้นเนื่องจากระนาดเป็นเครื่องใช้ที่ทำเสียงยาวไม่ได้ โดยการกรอเป็นการรัวละเอียดเพื่อให้ระนาดเล่นเสียงยาว และในวันที่ ๑๗ กรกฎาคมพ.๒๔๖๘ จางวางศรจึงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหลวงประดิษฐไพเราะ
                ในสมัยรัชกาลที่ ๗ พ.๒๔๖๙ หลวงประดิษฐไพเราะได้เข้ารับราชการในกรมปี่พาทย์และโขนหลวง กระทรวงวัง ได้มีโอกาสถวายการสอนดนตรีแด่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้มีส่วนช่วยในงานพระราชนิพนธ์เพลงไทยหลายเพลง เช่น เพลงราตรีประดับดาว เถา เพลงเขมรละออองค์เถา เพลงคลื่นกระทบฝั่ง และใน พ.ศ๒๔๗๓-๒๔๗๕ สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรงจัดให้มีการบันทึกโน้ตเพลงไทยขึ้น หลวงประดิษฐไพเราะได้ทำหน้าที่เป็นผู้บอกเพลงร่วมกับคูรดนตรีไทยหลายท่าน เช่น พระยาเสนาะดุริยางค์ จางวางทั่ว พาทยโกศล ขุนสมานเสียงประจักษ์ นายพิษณุแช่มบาง นายโลก เนตตะสูต นายมนตรี ตราโมท
                หลวงประดิษฐไพเราะได้ประพันธ์เพลงไว้เป็นจำนวนมากและมีหลายประเภทด้วยกัน ท่านได้ทำเพลงสี่ชั้นซึ่งถือว่าเป็นเพลงที่ประดิษฐ์ขึ้นใหม่ ที่สำคัญท่านเป็นผู้คิดเทคนิคการเล่นระนาดขึ้นใหม่เช่น การกรอ สะบัด ขยี้ รัว กวาด ซึ่งถือได้ว่าเป็นนการปฏิวัติวิธีการตีระนาดจากที่มีเพียงแค่แนวโขยกซึ่งเป็นวิธีโบราณซึ่งทำให้ระนาดมีบทบาทสำคัญในวงปี่พาทย์ด้วย

ผลงานเพลง
·       ประเภทเพลงโหมโรง เช่น โหมโรงกระแตไต่ไม้ โหมโรงปฐมดุสิต โหมโรงนางเยื้องโหมโรงศรทอง โหมโรงบางขุนนนท์ โหมโรงประชุมเทวราช โหมโรงม้าสะบัดกีบ โหมโรงบูเซ็นซอก
·       ประเภทเพลงเถา เช่น กระต่ายชมเดือน เถา ขอมทอง เถา เขมรปากท่อ เถาเขมรราชบุรี เถา แขกโอด เถา ครวญหา เถา จีนลั่น เถา ชมแสงจันทร์ เถา เต่าเห่ เถานกเขาขะแม เถา พราหมณ์ดีดน้าเต้า เถ้า มุส่ง เถา แมลงภู่ทอง เถา แสนคำนึง เถา
·       เพลงที่ชั้น เช่น แขกพราหมณ์ ดาวจระเข้ สุรินทราหู เขมรไทรโยค
·       เพลงทางเปลี่ยน เช่น เพลงช้าปี่ ดำเนินทราย ตามกวาง ทองย่อน พราหมณ์ดีดน้ำเต้า
·       สร้อยทอง นกจาก
·       เพลงสามชั้น เชน ดอกไม้ทอง ใบ้คลั่ง เทพรำพึง ฝรั่งรำเท้า ตับขะแมกอฮอม
·       ฝรั่งจรกา จีนนำเสด็จ



ครูมนตรี ตราโมท
ครูมนตรี ตราโมท มีนามเดิมว่า บุญธรรม เกิดเมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.๒๔๔๓เป็นบุตรของนายยิ้มกับนางทองอยู่ เป็นชาวสุพรรณบุรี มีภรรยาคนแรกชื่อลิ้นจี่ (สกุลเดิม บุรานนท์)มีบุตรด้วยกัน ๒ คน ที่มีชื่อเสียงทางด้านดนตรีคือ ครูศิลปี ตราโมท ภรรยาคนที่ ๒ ชื่อพูนทรัพย์(สกุลเดิม นาฏประเสริฐมีบุตรธิดาด้วยกัน ๒ คน
                ครูมนตรี ตราโมท เริ่มเรียนปี่พาทย์กับครูสมบุญ นักฆ้อง ต่อมาเรียนระนาดเอก ฆ้องวงเหญ่ และเครื่องดนตรีสากล คือ คลาริเน็ต และหลักการแต่งเพลงกับครูสมบุญ สมสุวรรณ เรียนวิธีแต่งเพลงกับพระยาประสานดุริยศัพท์ (แปลก ประสานศัพท์)และหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลงเรียนฆ้องวงใหญ่กับหลวงบำรุงจิตเจริญ (ธูป สาตนะวิลัยเรียนกลองแขกกับพระพิณบรรเลงราช (แย้ม ประสานศัพท์เรียนระนาดเอกกับพระเพลงไพเราะ (โสม สุวาทิตและหลวงชาญเชิงระนาด(เงิน ผลารักษ์เรียนระนาดทุ้มกับพระพาทย์บรรเลงรมย์(พิมพ์ วาทินและพระยาประสานดุริยศัพท์ เรียนเพลงองค์พระพิราพซึ่ง เป็นเพลงหน้าพาทย์ชั้นสูงสุดกับครูทองดี ชูสัตย์ อีกทั้งยังได้รับมอบให้ทำพิธีไหว้ครูจากหลวงประดิษฐไพเราะ และเรียนโน้ตสากลจากพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยกร) จนสามารถอ่านและเขียนโน้ตได้เป็นอย่างดี
ครูมนตรีรับราชการที่กรมพิณพาทย์หลวงในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้บรรเลงระนาดทุ้มประจำวงข้าหลวงเดิม ต่อมาเมื่อมีการปรับเปลี่ยนระบบราชการในสมัยรัชกาลที่ ๗ จึงได้ย้ายไปสังกัดกรมศิลปากรจนเกษียณอายุราชการ และยังคงปฏิบัติราชการในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทยจนถึงแก่อนิจกรรม
ครูมนตรี ตราโมท แต่งเพลงไว้เป็นจำนวนมาก และแต่งตำราทางวิชาการดนตรีไทย เช่นดุริยางคศาสตร์ไทย ภาควิชาการศัพท์สังคีต ประวัติบทเพลงต่างๆ และบทความทางประวัติการดนตรีไทยไว้ จำนวนมาก

ผลงานเพลง
         ประเภทเพลงสามชั้น เช่น เพลงต้อยตริ่ง (แต่งรวมกับหมื่นประคมเพลงประสาน)เพลงเทไสยาสน์ เพลงจระเข้หางยาวทางสักวา เพลงเทพนม เพลงเขมรปีแล้วทางสักวาเพลงต้นเพลงยาว
      ประเภทเพลง้เถา เช่น เพลงพมาเห่ เถา เพลงกาเรียนทอง เถา เพลงของเงิน เถาเพลงแขกกุลิต เถา เพลงแขกต่อยหม้อ เถา เพลงโสมส่องแสง เถา เพลงรอมทรงเครื่อง เถาเพลงกล่อมนารี เถา
·       ประเภทเพลงโหมโรง เช่น โหมโรงขับไม้บัณเฑาะว์สามชั้น โหมโรงร้ตนโกสินทร์สาม ชั้น
·       ประเภทเพลงประวัติศาสตร์ เช่น เพลงไทยมุง เพลงฝั่งโขง เพลงสิบสองจุไทย
·       ประเภทเพลงระบำ เช่นระบาโบราณคดี ๕ ชุด (ระบำทวารวดี ระบำศรีวิชัย ระบำลพบุรีระบำเชียงแสน ระบำสุโขทัยระบำนพรัตน์ ระบำม้า ระบำชุมนุมเผ่าไทย ฟ้อนดวงดอกไม้ฟ้อนม่านมงคล ซึ่งเพลงนี้ได้รับรางวัลเสาอากาศทองคำในฐานะผู้แต่งทานอง
·       ประเภทเพลงรำวงมาตรฐาน เช่น เพลงงามแสงเดือน เพลงรำซิมารำ เพลงชาวไทย
·       เพลงคืนเดือนหงาย เพลงดวงจันทร์วันเพ็ญ และเพลงดอกไม้ของชาติ



กิจกรรมส่งเสริมการเรียนรู้

๑.      ให้นักเรียนชมวีดิทัศน์การบรรเลงดนตรีทั้งสี่ภาค
๒.    ให้นักเรียนทารายงานค้นคว้าเรื่องดนตรีสี่ภาคให้นักเรียนแบ่งกลุ่มเพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นหน้าชั้นเรียนในหัวข้อ “เหตุใดดนตรีไทยจึงไดรับความนิยมจากคนรุ่นใหม่น้อยลง


๓.     ให้นักเรียนสัมภาษณ์เพื่อนหรือครูในโรงเรียนที่เล่นดนตรีไทย ว่าเหตุใดจึงประทับใจในเครื่องดนตรีที่เล่น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น